วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556
JAGUAR E-TYPE ที่สุดของความคลาสสิก
JAGUAR E-TYPE ที่สุดของความคลาสสิก
เกิด 1961 ตาย 1974 จำนวนการผลิตทั้งหมดรวม 72,515 คัน เครื่องยนต์แถวเรียง 6 สูบ 3,781 ซีซี จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์แฝด มีเรี่ยวแรง 265 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรใน 7.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 225.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นี่คือ Jaguar E-Type ยนตรกรรมสปอร์ตสุดคลาสสิกของอังกฤษ...
เมื่อลองพิจารณาเรือนร่างของรถ Jaguar E-Type รถสปอร์ตในยุค 1960 ก็จะพบกับงานศิลปะขั้นสูงของการผสมผสานเส้นสายที่โค้งมนกับรูปทรงที่ดูกลมกลืนหมดจดทั่วทั้งคัน มันคือรถยนต์ที่ถูกสร้างโดยมีจิตวิญญาณของศิลปะอันหลากหลายของยุค 1960 แฝงอยู่ในทุกอณูของตัวรถ นักออกแบบชาวอังกฤษ Malcolm Sayer สื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างรถสปอร์ตของอังกฤษกับชาติพันธุ์ของรถแข่งจากอิตาลีได้อย่างลงตัวที่สุด เสน่ห์ในแบบผู้ชายและความอ่อนช้อยของทรวดทรงในแบบของผู้หญิงถูกบรรจุอยู่บนเรือนร่างของรถคันนี้จนทำให้มันได้รับความนิยมไปทั่ว ในยุคหนึ่งของวงการยนตรกรรม รถ Jaguar E-Type คือจักรกลที่มีความงามมากที่สุดจนอาจกล่าวได้ว่า นี่คือรถยนต์ที่สวยที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างกันขึ้นมาเลยทีเดียว
รถ E-Type ของค่ายเสือกระโดดที่เข้ามาแทนรุ่น XK150 เสนอมุมมองที่มีความลงตัวโดยเชื่อมโยงด้านเรือนร่างร่วมกับรถ Roadster รุ่น XK120 ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1948 โดยภาพรวมแล้ว E-Type ทุกคันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการทำความเร็ว มันเป็นสปอร์ตคาร์ที่เร็วมากคันหนึ่งในยุคสมัยที่เทคโนโลยีด้านยนตรกรรมยังคงต้องพึ่งพากลไกมากกว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์ นอกเหนือไปจากนั้น รถ E-Type วางรากฐานของการผลิตใหม่หมดด้วยตัวถังอะลูมินัมอัลลอย แบบของตัวรถมีให้เลือกทั้งคูเป้หลังคาแข็งและเปิดประทุนหลังคาผ้าใบ ฝากระโปรงด้านหน้าได้แนวคิดมาจากรุ่น D-Type ที่มีจมูกยาวพร้อมด้วยกันชนโครเมี่ยมขนาดเล็ก ลักษณะที่เหมือนกันของ E-Type และ D-Type ยกเว้นอุปกรณ์บางชิ้นส่วนเช่น กันชนด้านหน้าจะมีลักษณะเป็นเส้นบางเล็ก กระจกด้านหน้าของ E-Type กว้างเต็มบาน บางคันจะติดอุปกรณ์พิเศษสำหรับการขนกระเป๋าเป็นรางที่ใช้วางสัมภาระเพื่อการขับขี่เดินทางท่องเที่ยว และแม้จะไม่หรูหราเท่ากับรุ่น XK150 แต่ E-Type มีเครื่องยนต์ 3.8 ลิตร 6 กระบอกสูบที่ทรงประสิทธิภาพและซดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเหลือร้ายจากการสูบของคาร์บูเรเตอร์คู่
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าติด ตั้งเฟรมย่อย ใช้สลักยึดฝากระโปรงหน้าและตัวยึดกระจกกันลมบานหน้าเหมือนกันกับรุ่น D-Type ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหลังจะเป็นแบบอิสระ โครงสร้างบางจุดของ E-Type มาจากรถต้นแบบ E2A ที่ Jaguar พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับส่งลงทำการแข่งขัน ดุมล้อแบบซี่ลวดให้ความสวยงามคลาสสิกแต่ดูแลรักษาได้ยากมาก เมื่อเปิดตัวในช่วงปี 1961 บนราคาค่าตัวที่คนชั้นกลางสามารถจับต้องได้ทำให้มันได้รับความนิยมชมชอบไปทั่วโลก นักขับส่วนใหญ่ในยุคนั้นติดใจอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร ที่เร็วราวกับพายุ (7.2 วินาที) แถมการวิ่งด้วยความเร็วเดินทางคงที่ก็ยังให้ความมั่นใจได้ดีกว่ารถสปอร์ตคันเล็ก มันเป็นรถที่ีดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้างได้ดี จากรูปทรงและสมรรถนะที่เกินน่าเกินตารถสปอร์ตจากอิตาเลียนหรือเยอรมันอยู่ บ้างในบางจุด การขับขี่ที่ดีเมื่อใช้ความเร็วสูงทำให้ E-Type บางคันกลายเป็นรถแข่งที่น่าเกรงขามในเวลาต่อมา
หลังจาก E-Type ออกขายไปได้สักระยะ รุ่นหลังคาแข็งและรุ่นเปิดประทุนหลังคาผ้าประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ตลาดส่งออกหลักของ E-Type ทั้งสองรุ่นคือที่สหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับรุ่น XK120 ที่เคยประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้มาแล้ว สำหรับการแข่งขันในสนามแข่งความเร็วสูงของยุคนั้น รถ E-Type คันแรกที่วิ่งเข้าเส้นชัยในอันดับที่หนึ่งเกิดขึ้นในรายการ Sports Car Club Of America หรือ SCCA ต่อมา ในช่วงปี 1962-1964 รถ E-Type ได้กลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ของค่าย Jaguar ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในบรรดารถสปอร์ตทั้งหลายในยุคเดียวกัน เมื่อออกขายไปได้สักระยะหนึ่ง บริษัท Jaguar ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของ E-Type ให้มีกำลังมากขึ้นด้วยเครื่องยนต์ขนาด 4.2 ลิตร กระบอกสูบโตขึ้นเป็น 92.7 มิลลิเมตร ส่วนระยะชักยังคงเท่าเดิมที่ 106 มิลลิเมตร เครื่องยนต์ตัวใหม่มีปริมาตรความจุรวมทั้งสิ้น 4,235 ซีซี แรงม้ายังคงเท่าเดิมแต่มีแรงบิดมากขึ้นอีก 7% ทำให้อัตราเร่งดีขึ้นจาก 7.2 วินาที เป็น 6.8 วินาทีในการไต่ระดับความเร็ว ส่วนตีนปลายหรือความเร็วสูงสุดลดลงไป 8 กิโลเมตร จากน้ำหนักของเครื่องยนต์และอัตราทดที่ไม่สัมพันธกัน ระบบส่งกำลังก็ถูกพัฒนาให้เป็นแบบ Synchromesh Gearbox เพื่อรองรับกับแรงบิดที่เพิ่มขึ้น สำหรับ E-Type รหัส Series-3 (1971-1973) วางเครื่องยนต์ V12 ปริมาตรความจุ 5,343 ซีซี 276 แรงม้า กับแรงบิด 416 นิวตันเมตรที่ 3,600 รอบต่อนาที เป็น E-Type รุ่นท้ายๆก่อนปิดสายการผลิต
ในเดือนมิถุนายน ปี 1966 ช่วงฐานล้อของ E-Type รุ่นหลังคาแข็งถูกขยายออกไปอีกเล็กน้อยจาก 2,438 มิลลิเมตรเป็น 2,667 มิลลิเมตร หลังคาถูกปรับให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะ สัดส่วนที่ถูกขยายออกไปจากที่เคยเป็นสปอร์ตคาร์สองที่นั่งมาเป็นสี่ที่นั่ง แต่ที่นั่งด้านหลังดูจะอึดอัดไปหน่อย การขยายฐานล้อนอกจากจะได้พื้นที่ของเบาะหลังเพิ่มขึ้นแล้ว ค่าย Jaguar ยังสามารถนำเกียร์ออโต้รุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่มาวางลงไปใน E-Type รุ่นปี 1966 ได้อีกด้วย ขนาดที่โตขึ้นสำหรับรุ่นคูเป้หลังคาแข็งกับประสิทธิภาพของการขับขี่ทำให้มันกลายเป็นที่ต้องการของคนอเมริกันที่เบื่อความใหญ่โตของรถยนต์ในประเทศตัวเอง สัดส่วนที่งดงามทำให้ E-Type กลายเป็นรถยนต์ที่ผู้คนต่างต้องการคว้าเอามาครอบครอง ชิ้นส่วนที่ให้ความรู้สึกประทับใจด้านมุมมองมากที่สุดคือการขึ้นรูปบานประตู ที่กลมกลืนและทำให้มองเส้นด้านข้างของตัวรถมีความต่อเนื่องไปตลอดทั้งคัน
ฝากระโปรงด้านหน้าของ E-Type เมื่อเปิดออกจะเห็นโครงสร้างส่วนด้านหน้าของตัวรถทั้งหมด สำหรับรถในรุ่นแรกๆ นั้นจะเปิดฝากระโปรงหน้าด้วยคันโยกรูปตัว T เครื่องยนต์มีฝาครอบเครื่องที่ออกแบบได้อย่างงดงาม ระบบจ่ายเชื้อเพลิงคาร์บูเรเตอร์รุ่น SU3 กับกรองอากาศที่ปัดเงาจนยกระดับงานห้องเครื่องให้มีความสวยงามอยู่ในระดับ ต้นๆ ของวงการ ในรุ่นท้ายๆ ก่อนที่จะยุติสายการผลิตนั้น รถ Jaguar E-Type มีการปรับระดับไฟหน้าให้ยกขึ้นเล็กน้อย เพิ่มประสิทธิภาพของระบบป้องกันไอพิษสำหรับรุ่นที่ส่งไปขายในสหรัฐอเมริกา ช่องรับอากาศเข้าไประบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ของรถรุ่นปี 1968 ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นไปอีกนิด นอกจากนั้นยังมีการติดตั้งพัดลมไฟฟ้าขนาดใหญ่อีก 2 ตัว เพื่อช่วยในการระบายความร้อน และทำให้อากาศภายในห้องเครื่องยนต์มีการหมุนเวียนที่ดีขึ้น
กาลเวลาที่ผ่านมากว่า 50 ปี จากรุ่นแรกที่ออกจำหน่ายในปี 1961 จนมาถึงรุ่นสุดท้ายก่อนที่จะยุติสายการผลิตลงไปในปี 1974 รถ E-Type กลายเป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่า ทำให้นักสะสมรถยนต์คลาสสิกต่างไขว่คว้าหามาครอบครอง ในบางแง่มุมของความงดงามบนเรือนร่างยังมีจุดด้อยทางวิศวกรรมยานยนต์อยู่บ้าง เช่น ฐานล้อที่แคบจนเกินไปทำให้การเลี้ยวโค้งลึกๆ ด้วยความเร็วไม่ดีเท่าที่ควร เครื่องยนต์มีเสียงดังและซดน้ำมันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน กรอบไฟหน้าที่ชอบขุ่นมัวหลังจากใช้งานไปสักระยะ แต่โดยรวมแล้ว ส่วนที่ดีและโดดเด่นด้านการดีไซน์ ก็เข้ามาช่วยให้นักขับลืมข้อด้อยเล็กๆ น้อยๆ นี้ลงไปได้บ้าง เส้นสายที่ผสมผสานความรู้สึกอ่อนไหวของผู้หญิงและความแข็งแกร่งของผู้ชายที่ สามารถมองเห็นได้ตลอดทั่วทั้งคันทำให้รถ E-Type กลายเป็นหนึ่งในยนตรกรรมแห่งประวัติศาสตร์ไปโดยปริยาย.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
24 Places That Are Actually Real
24 Places That Are Actually Real
Chand Baori – Abhaneri, India
The Richat Structure – Mauritania
Zhangye, China
Namibia
Iceland
Socotra, Yemen
Crystal Cave – Skaftafell, Iceland
Lake Retba – Senegal
Berry Head Arch – Newfoundland, Canada
Gullfoss – Iceland
Door to Hell – Derweze, Turkmenistan
Moravia, Czech Republic
Naica Mine – Chihuahua, Mexico
Metro – Stockholm, Sweden
Mount Grinnell – Glacier National Park, Montana
Mare Island Naval Shipyard – Vallejo, California
Mt. Roraima, Venezuela
The Stone Forest, Madagaskar
Tunnel of Love – Kleven, Ukraine
Hang Son Doong Cave – Vietnam
Grand Prismatic Spring – Yellowstone National Park, Wyoming
The Wave – Arizona
Salar de Uyuni, Bolivia
Tulip fields – Lisse, Netherlands
Chand Baori – Abhaneri, India
The Richat Structure – Mauritania
Zhangye, China
Namibia
Iceland
Socotra, Yemen
Crystal Cave – Skaftafell, Iceland
Lake Retba – Senegal
Berry Head Arch – Newfoundland, Canada
Gullfoss – Iceland
Door to Hell – Derweze, Turkmenistan
Moravia, Czech Republic
Naica Mine – Chihuahua, Mexico
Metro – Stockholm, Sweden
Mount Grinnell – Glacier National Park, Montana
Mare Island Naval Shipyard – Vallejo, California
Mt. Roraima, Venezuela
The Stone Forest, Madagaskar
Tunnel of Love – Kleven, Ukraine
Hang Son Doong Cave – Vietnam
Grand Prismatic Spring – Yellowstone National Park, Wyoming
The Wave – Arizona
Salar de Uyuni, Bolivia
Tulip fields – Lisse, Netherlands
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)